แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

ชาวสะมาเรีย (Samaritan)

อัสซีเรียได้นำเชลยจากประเทศต่างๆ ในราชอาณาจักรของพวกเขาเพื่อเข้าไปตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ในเมืองต่างๆของอาณาจักรอิสราเอลทางเหนือ ตั้งแต่นั้นมาอิสราเอลภาคเหนือทั้งหมดจึงมีชื่อเรียกใหม่ว่า สะมาเรีย
    ประชาชนเหล่านี้พยายามที่จะหลบเลี่ยงการพิพากษาโทษจากพระเจ้าของอิสราเอล โดยวิธีนมัสการพระยาเวห์รวมกับศาสนาที่พวกเขาปฏิบัติอยู่  พวกนี้ได้แต่งงานกับพวกยิวที่หลงเหลืออยู่ในแผ่นดินนั้น  เชื้อสายของพวกสะมาเรียจึงสืบเนื่องมาจากประชาชนคนเหล่านี้  พวกนี้เป็นพวกลูกผสมและมีศาสนาผสมด้วย   เนื่องจากสาเหตุนี้เองทำให้พวกสะมาเรียและพวกยิวแท้เกิดความมึนตึงเข้าหากันมากยิ่งขึ้น  (2 พกษ. 17:24-33; ยน. 4:9)   ชาวต่างประเทศได้พากันเข้าไปอาศัยอยู่ในสะมาเรียเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ   ในสมัยกษัตริย์ของอัสซีเรียองค์ต่อๆมา (อสร. 4:2, 9, 10) ภายหลังอัสซีเรียต้องประสบความพ่ายแพ้แก่บาบิโลน ปี กคศ. 612

    ในระหว่าง กคศ. 606-587 บาบิโลนรบชนะยูดาห์ซึ่งตั้งอาณาจักรอยู่ทางใต้ ได้จับประชาชนพลเมืองยิวไปเป็นเชลย   ต่อมาในสมัย
 กคศ. 538 เปอร์เซียรบชนะบาบิโลนและได้จัดการปลดปล่อยพวกเชลยชาวยิวให้กลับไปเยรูซาเล็ม  เมื่อพวกเขากลับไปแล้วก็ได้สร้างพระวิหารของพระเจ้าและเมืองขึ้นใหม่  ชาวสะมาเรียเห็นชาวยิวขะมักเขม้นในการปรับปรุงซ่อมแซมก่อสร้างจึงเสนอขอเข้าร่วมช่วยในงานนี้ด้วย  แต่ชาวยิวปฏิเสธไม่ยอมให้สะมาเรียเข้าไปมีหุ้นส่วนในกิจการงานของพวกเขา  อาจจะเป็นเพราะกลัวว่า พวกสะมาเรียจะนำเอาความคิดที่ไม่ดี เข้าไปในศาสนาของพวกเขา   พวกกลุ่มชาวสะมาเรียเกิดปฏิกิริยาขมขื่นโกรธเคืองมากและได้ขัดขวางโครงการก่อสร้างอยู่ตลอดเวลา(อสร. 4:1-24; นหม. 4:1-23)
    หลายปีต่อมา โครงการก่อสร้างก็ได้บรรลุผลสำเร็จเสร็จสิ้นลงสมตามเป้าหมาย พวกผู้นำของชาวสะมาเรียเปลี่ยนท่าที  โดยเลิกต่อต้านชาวยิว  ทำทีว่ายินดีด้วย  ใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกลวงโดยส่งพวกเขาไปแทรกแซงอยู่ในกลุ่มคนที่มีอิทธิพลในเยรูซาเล็ม  หาทางทำลายโดยนำศาสนาไปในทางชั่ว ทำพระวิหารของพระเจ้าให้เป็นมลทิน  และชักชวนให้ชาวสะมาเรียและชาวยิวแต่งงานกัน  การปฏิบัติการของพวกสะมาเรียได้ขยายตัวกว้างขวางออกไป  ในที่สุด เนหะมีย์ได้ขับไล่พวกที่ไม่ใช่ชาวยิวแท้ออกไปนอกเมือง (นหม. 13:1-9; 23-31)
    การกลับไปยังสะมาเรียในครั้งนั้น  พวกเขาแสดงความร้อนรนให้พวกชาวยิวเห็นว่า พวกเขาก็มีความสามารถและสามัคคีกันโดยได้รวมกำลังกันสร้างพระวิหารของพระเจ้าของพวกเขาเอง  พระวิหารของพวกเขานี้ตั้งอยู่บนภูเขาเกริซิม  พวกเขายึดเพียงพระคัมภีร์ห้าเล่มของโมเสส(โตราห์) เป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวัน   และถือว่าพระนิเวศของพระเจ้าบนภูเขาเกริซิมเป็นสถานที่นมัสการที่ถูกต้องเพียงแห่งเดียว (ฉธบ. 27:12; ยน. 4:9, 20)   ปัจจุบันนี้ยังมีหมู่ประชาชนกลุ่มเล็กๆ สองสามร้อยคนอาศัยอยู่ใกล้พื้นที่ซึ่งเคยเป็นเมืองเชเคมในสมัยก่อนโน้น  พวกนี้ยังคงนับถือศาสนาตามพวกสะมาเรียโบราณอยู่จนกระทั่งปัจจุบันนี้
    ในพระคัมภีร์ใหม่ถือกันว่า ปาเลสไตน์มีอยู่สามภาค  กาลิลีอยู่ภาคเหนือ  สะมาเรียอยู่ภาคกลาง  และยูเดียอยู่ภาคใต้  ยูเดียและสะมาเรียรวมกันเป็นแคว้นหนึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของโรม  โรมได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการอยู่ที่ซีซารียา(ลก. 3:1; กจ. 1:8; 23:33)
    มีเรื่องราวที่พระเยซูเจ้าได้ทรงเกี่ยวข้องกับชาวสะมาเรียใน ยน. 4:3-5, 39-41  ,  ลก. 9:51-53  ,  ลก. 10:30-37; 17:11-18  ,  กจ. 1:8; 8:1 , 4-6, 25; 9:31; 15:3