พระคัมภีร์กับชีวิตประจำวัน


ชาวอิสราเอลบรรพบุรุษของคริสตัง เอาพระวาจาของพระเขียนไว้บนแถบหนังและคาดเอาไว้ที่เอวและศีรษะ เขาสนใจเอาใจใส่คำของพระเสมอฉันใด เราคริสตชนควรจะนำพระวาจาของพระมาเป็นความนึกคิด มาตรการ แนวคิด สำหรับการตัดสินใจกระทำกิจการต่างๆ ในชีวิตประจำวันเหมือนชาวยิวที่คาดผ้าพระวาจานั้น แต่เราจารึกพระวาจาของพระองค์มิใช่ในแถบหนัง แต่ในหัวใจและเลือดเนื้อของเราทีเดียว    เราเอาพระวาจานั้นจากตัวอักษรมาเป็นตัวคนในชีวิตของเรา เอามาปรับเข้ากับชีวิตประจำวันให้พระองค์มาอาศัยในตัวเรา เมื่อเราคิด เราทำ แปลว่าพระทรงกำลังคิดและทำมิใช่เราทำอีกต่อไป สมตามวาทะของท่านนักบุญเปาโลว่า”...แต่พระองค์ทรงมีชีวิตในตัวข้าพเจ้า...” ไม่มีความสุขใดเท่าเสมอความสุขที่รู้ว่า เรากำลังดำเนินไปตามคำสอนของพระเบื้องบน
เราใช้เวลากับเรื่องราวของพระคัมภีร์มาทั้งหมด หวังผลก็เพียงข้อสุดท้ายสั้นๆ นี้เอง คือ เปลี่ยนพระคัมภีร์ที่เป็นหนังสือให้กลายเป็นพระคัมภีร์ที่เป็นบุคคล เพราะแท้จริงพระเยซูทรงเป็น “พระคำ” หรือ “พระวจนาตถ์” คือ คำพูดของพระเป็นเจ้าซึ่งเป็นบุคคลแต่แรกเริ่มก่อนสร้างโลกอยู่แล้ว ต่อมา “พระคำ” นี้กลายเป็นหนังสือพระคัมภีร์ “เยซู” นี้ในตัวของตน คือ กลับมาเป็นบุคคลอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นหลายๆ “พระคำ” ในหลายๆ คน โลกของเราจึงเต็มไปด้วย “บุคคลพระ” จะน่าอยู่แค่ไหนสำหรับสังคมของเรา
“บุคคลเหล่านี้ที่รักพระธรรมของพระองค์มีสันติภาพใหญ่ยิ่ง ไม่มีสิ่งใดกระทำให้เขาสะดุ้งได้” (สดด 119 : 165) เป็นคำของพระเป็นเจ้าในหนังสือสดุดีบทที่ 119 วรรค 165 อันเป็นหนึ่งในหลายๆ ประโยคที่ให้กำลังแก่ผู้คนทั่วโลกมานานนับศตวรรษ เมื่อเราจารึกพระธรรมของพระลงในจิตใจเมื่อใด อิสยาห์บอกกับเราว่า “ดูเถิด เราได้สลักเจ้าไว้บนฝ่ามือเรา” (อสย 49 : 16)
ข้าพเจ้าปลอบชีวิตของข้าพเจ้า...ด้วยพระวาจาทรงชีวิต...
...ข้าพเจ้าเตือนใจคน...ด้วยพระวาจาของพระองค์
ข้าพเจ้าอบอุ่นใจทุกครั้งที่อ่านคำพูดของพระเจ้า...
พระวาจาของพระองค์ทะลวงใจข้าพเจ้าเมื่อข้าพเจ้าผิด..
...พระวาจาของพระเป็นชีวิตของเรา...
...อยู่ไปอยู่มา...ด้วยพระคัมภีร์...
พระวาจาเหล่านี้...กลับกลายเป็นตัวบุคคลอยู่ใกล้ๆ เรานี้เอง
...แท้จริง...พระวาจาก็เป็นบุคคลแต่แรกแล้ว
...โอ้ พระเยซู...ความปรารถนาทั้งสิ้นของข้าพเจ้า....