ที่มาของพระคัมภีร์แห่งคริสต์ศาสนา


    เนื่องจากพระเป็นเจ้ามีธรรมชาติเป็น “ความดี” หรือภาษาชาวบ้านว่า “พระเป็นเจ้าทรงเป็นองค์ความดีครบครัน” ความดีย่อมไม่สามารถปิดบังเก็บงำเอาไว้แต่ผู้เดียว หรือ ณ สถานเดียว  แต่ความดีกระจายตัวเองดุจกลิ่นหอมฟุ้งกระจายทั่ว พระเป็นเจ้าก็ฉันนั้น ทรงแผ่ความดีความงามของพระองค์ออกมาให้เห็นเป็นรูปร่าง คือ จักรวาลของเรา สุดยอดแห่งจักรวาลที่พระสร้างเพื่อแผ่ความมดีงามนี้ก็คือ “คน” หรือ “มนุษย์”     พระองค์ทรงมีแผนการในทุกอย่างที่ทรงกระทำในโลกจักรวาลนี้ โดยเฉพาะมีแผนการสำหรับมนุษย์ที่พระองค์ทรงอุตส่าห์สร้างมาอย่างพิเศษกว่าหมด

เหตุว่าในมนุษย์มีส่วนที่ถอดแบบมาจากพระองค์ นั่นก็คือ วิญญาณ    ความดีของพระองค์จึงทรงแผ่เข้ามาเจาะจงเป็นพิเศษต่อวิญญาณจิตของมนุษย์ทุกคน    กิจการนี้หรือแผนนี้พระเป็นเจ้ามิได้ทรงกระทำไปเพราะเหตุผลอื่นใดนอกจากเหตุผลความรักแท้ที่มีต่อมนุษย์        พระองค์จึงทรงกระทำตามแผนนั้นแต่มนุษย์ได้แข็งขืนต่อพระเป็นเจ้าที่ทรงรักเขา        มนุษย์จึงรับโทษที่ตนก่อ พระเป็นเจ้าทรงกำหนดแผนการแก้ไขความผิดนี้เราเรียกแผนนี้ว่า “แผนการกอบกู้” หรือ “แผนการไถ่บาป” ณ เวลานี้เองที่พระคัมภีร์เริ่มต้นเป็นตัวเป็นตนขึ้น เราจึงอาจพูดได้อีกนัยหนึ่งว่าพระคัมภีร์บรรจุเรื่อง “ประวัติศาสตร์แห่งความรอด”หรือ “ประวัติศาสตร์แห่งการไถ่กู้” เอาไว้เป็นประวัติศาสตร์ที่บันทึกเหตุการณ์ที่พระเป็นเจ้าผู้ที่เราไม่อาจมองเห็นนี้ทรงเข้ามาในกาลเวลา ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์บนโลก เพื่อจะทรงช่วยเหลือมนุษย์ได้พบกับความรอดพ้นหรือ สันติสุขนิรันดร    พระองค์ทรงมาเกี่ยวข้องพัวพันและที่สุดทรงมาอยู่ปะปนกับมนุษย์ถึง 33 ปีใน
โลกของเรานี้
    ประวัติศาสตร์ความรอดดำเนินเรื่อยมานับจากยังไม่มีมนุษย์คู่แรกมาจนถึงวันนี้ที่เราทุกคนกำลังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้ และจะเสร็จสิ้นในอนาคตซึ่งไม่มีใครทราบว่าเมื่อไหร่ แน่นอนพระคัมภีร์นี้เป็นผลงานจากฝีมือเขียนบันทึก เก็บรักษา คัดลอก สะสม แปล จัดพิมพ์ จำหน่าย จ่ายแจกของมนุษย์    แต่โดยแท้จริงนั้น พระเป็นเจ้าทรงอยู่เบื้องหลังกิจการทั้งหลายเหล่านี้ที่ทรงเกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้เร้าใจ ดลใจและกระตุ้นให้คนเขียนคนแล้วคนเล่า ปีแล้วปีเล่า นานเข้าก็รวบรวมเป็นเล่มเดียว ดังปรากฏแก่สายตาในปัจจุบัน พระคัมภีร์จึงมีคนเขียนหลายคน บางทีเราก็ไม่ทราบว่าใครกันแน่ที่พระทรงขอยืมมือและหัวใจของเขาเขียนตามที่พระองค์ทรงต้องการจะบอก ทรงต้องการจะเล่าให้มนุษย์รู้ถึงตัวพระองค์และกิจการของพระองค์ พระองค์ทรงอาศัยความถนัดของคนเหล่านั้นในรูปแบบต่างๆ มากมายและตามกาลสมัยนิยม ตามแต่สำนวนภาษาของเขาที่มีอยู่ในเวลานั้น เพียงเพื่อจะบอกข่าวเกี่ยวกับพระองค์ให้ได้ เมื่อผู้เขียนที่เป็นมนุษย์เหล่านี้ล้มหายตายจากไป หนังสือที่เขาเขียนยังคงอยู่หลายๆ เล่มจากหลายๆ คน นานปีเข้าก็รวมเป็นเล่มเดียวเรียกว่า “พระคัมภีร์”  พระศาสนจักรใช้เวลา ใช้วิจารณญาณ อาศัยพระจิตเจ้าและผู้มีความเชี่ยวชาญมากมายศึกษาค้นคว้าหนังสือเหล่านี้ทีละเล่ม คัดเอาเฉพาะฉบับที่มั่นใจว่าพระเป็นเจ้าทรงต้องอยู่เบื้องหลังผู้เขียนแน่นอนและประกาศเป็นทางการรับรองว่าหนังสือเหล่านี้ที่เอามารวมกันเป็นคำพูดของพระเป็นเจ้าอย่างแท้จริงและเรียกหนังสือนี้ว่า “พระคัมภีร์”     เราจึงพูดได้เป็นข้อสรุปว่า พระคัมภีร์มีที่มาคือพระเป็นเจ้า พระเป็นเจ้าเป็นผู้เขียนพระคัมภีร์มิใช่มนุษย์ เพียงแต่ขอยืมความสามารถของมนุษย์บางคนที่ทรงพอพระทัยเหล่านั้น เขียนเรื่องในพระทัยของพระองค์ออกมา    เปรียบได้กับเจ้านายสั่งเสมียนหรือ เลขาเขียนจดหมายโดยเจ้านายเป็นเจ้าของความคิด และเลขาเป็นผู้ลงมือเขียนให้ตรงกับใจเจ้านาย และที่สุดเจ้านายก็รับรองจดหมายนั้นว่าถูกต้องตามที่ตนต้องการ ฉันใดก็ฉันนั้น

ที่มา : หนังสือความเชื่ออันเป็นชีวิต