กษัตริย์ดาวิดกล่าวในบทสดุดีเกี่ยวกับการสนิทสนมของพระเจ้า และการดำรงอยู่ในความรักของพระเจ้าสำหรับท่าน แม้ก่อนที่กษัตริย์ดาวิดจะประสูติมา ท่านอธิษฐานภาวนาว่า “พระองค์ทรงปั้นส่วนต่างๆ ภายในของข้าพเจ้า ทรงถักทอข้าพเจ้าในครรภ์มารดา ... โครงร่างของข้าพเจ้าไม่เป็นสิ่งลึกลับสำหรับพระองค์ ... ข้าพเจ้าถูกปั้นอย่างเงียบๆ” (สดด 139:13-15) เรื่องราวอื่นๆ ในพระคัมภีร์ย้ำให้เห็นถึงความจริงที่ว่า เด็กที่อยู่ในครรภ์มารดา ไม่ว่าการพัฒนาอยู่ในระยะไหน เป็นบุคคลมนุษย์เต็มรูปแบบ – ได้รับรู้และได้รับความรักจากพระเจ้า มีการแบ่งปันศักดิ์ศรี และมีค่าอันยิ่งใหญ่ของทุกๆ คนที่เป็นบุคคลมนุษย์สร้างโดยพระเจ้าตามภาพลักษณ์ของพระองค์ (ปฐก 1:26-27)
คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก CCC ข้อ 663 พระคริสตเจ้าจึงประทับเบื้องขวาพระบิดา “สำนวน ‘เบื้องขวาพระบิดา’ หมายถึง พระเกียรติและพระสิริรุ่งโรจน์แบบพระเจ้าที่พระบุตรทรงมีในฐานะพระบุตรของพระเจ้า ร่วมพระธรรมชาติเดียวกับพระบิดาตั้งแต่นิรันดร และเมื่อทรงรับสภาพมนุษย์แล้ว พระวรกายของพระองค์ก็ทรงพระสิริรุ่งโรจน์เช่นเดียวกันด้วย”
วันฉลองศาสนนาม
วันฉลองศาสนนามเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ในปีพิธีกรรม เมื่อเราระลึกถึงหรือคิดถึงนักบุญและโอกาสพิเศษ คริสต์มาสและปัสกา ก็เป็นวันฉลองศาสนานาม เช่นกัน
คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก CCC ข้อ 659 “เมื่อพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้แล้ว พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นสู่สวรรค์ให้ประทับ ณ เบื้องขวา” (มก 16:19) พระกายของพระคริสตเจ้าทรงพระสิริรุ่งโรจน์นับตั้งแต่ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ดังที่สภาพใหม่เหนือธรรมชาติแสดงให้เห็นว่าจะทรงสภาพเช่นนี้ตลอดไปแต่ระหว่างช่วงเวลาสี่สิบวันที่ทรงดื่มและเสวยพระกระยาหารอย่างเป็นกันเองกับบรรดาศิษย์ สอนพวกเขาเรื่องพระอาณาจักร พระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ยังคงซ่อนอยู่ในรูปร่างของมนุษย์ธรรมดาทั่วไป การสำแดงพระองค์ครั้งสุดท้ายของพระเยซูเจ้าจบสิ้นลงเมื่อสภาพมนุษย์ของพระองค์เข้าไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้าอย่างเด็ดขาดโดยมีเมฆเป็นเครื่องหมาย ในสวรรค์ ที่พระองค์ประทับเบื้องขวาของพระเจ้านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงสำแดงองค์โดยวิธีพิเศษเป็นการยกเว้นแก่เปาโล “ผู้เป็นเสมือนเด็กที่คลอดก่อนกำหนด” ด้วย เป็นการแสดงพระองค์ครั้งสุดท้ายและแต่งตั้งเขาให้เป็นอัครสาวก
พระบิดา
พระเยซูเจ้าทรงเรียกพระเจ้าว่า "พระบิดา" เพื่อแสดงว่า พระเจ้าทรงรักเราดังเช่นพ่อแม่รักลูก พระเจ้า พระบิดา คือบุคคลแรกในพระตรีเอกภาพ
คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก CCC ข้อ 659 “เมื่อพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้แล้ว พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นสู่สวรรค์ให้ประทับ ณ เบื้องขวา” (มก 16:19) พระกายของพระคริสตเจ้าทรงพระสิริรุ่งโรจน์นับตั้งแต่ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ดังที่สภาพใหม่เหนือธรรมชาติแสดงให้เห็นว่าจะทรงสภาพเช่นนี้ตลอดไป แต่ระหว่างช่วงเวลาสี่สิบวันที่ทรงดื่มและเสวยพระกระยาหารอย่างเป็นกันเองกับบรรดาศิษย์ สอนพวกเขาเรื่องพระอาณาจักร พระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ยังคงซ่อนอยู่ในรูปร่างของมนุษย์ธรรมดาทั่วไป การสำแดงพระองค์ครั้งสุดท้ายของพระเยซูเจ้าจบสิ้นลงเมื่อสภาพมนุษย์ของพระองค์เข้าไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้าอย่างเด็ดขาดโดยมีเมฆเป็นเครื่องหมาย ในสวรรค์ ที่พระองค์ประทับเบื้องขวาของพระเจ้านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงสำแดงองค์โดยวิธีพิเศษเป็นการยกเว้นแก่เปาโล “ผู้เป็นเสมือนเด็กที่คลอดก่อนกำหนด” ด้วย เป็นการแสดงพระองค์ครั้งสุดท้ายและแต่งตั้งเขาให้เป็นอัครสาวก
พระวาจาหนุนใจ - ความสงบ สันติ
มธ. 5:9 ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า
สภษ. 12:20 ความหลอกลวงอยู่ในใจของผู้คิดแผนการชั่วร้าย ความชื่นชมยินดีอยู่ในใจของผู้แนะนำสันติภาพ
ยก. 3:18 ผู้ที่สร้างสันติย่อมเป็นผู้หว่านในสันติ และจะเก็บเกี่ยวผลเป็นความชอบธรรม
อฟ. 4:3 พยายามรักษาเอกภาพแห่งพระจิตเจ้าด้วยสายสัมพันธ์แห่งสันติ
ลก. 2:14 พระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระเจ้าในสวรรค์สูงสุด และบนแผ่นดิน สันติจงมีแก่มนุษย์ที่พระองค์โปรดปราน
รม. 12:18 ในส่วนของท่าน จงอยู่อย่างสันติกับทุกคนถ้าเป็นไปได้
2ทธ. 2:22 จงหลีกหนีอารมณ์และความรู้สึกของคนหนุ่ม แต่จงมุ่งหาความชอบธรรม ความเชื่อ ความรักและสันติพร้อมกับทุกคนที่เรียกขานองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์
คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก CCC ข้อ 1038 การกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตาย “ทั้งผู้ชอบธรรมและคนอธรรม” (กจ 24:15) จะมาถึงก่อนการพิพากษาครั้งสุดท้าย แล้วจะถึง “เวลาที่ทุกคนในหลุมศพจะได้ยินพระสุรเสียง […] [ของบุตรแห่งมนุษย์] และจะออกมา ผู้ที่ได้ทำความดีจะกลับคืนชีพมารับชีวิตนิรันดร ส่วนผู้ที่ทำความชั่วก็จะกลับคืนชีวิตมารับโทษทัณฑ์” (ยน 5:28-29) แล้วพระคริสตเจ้า “จะเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์พร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์ […] บรรดาประชาชาติจะมาชุมนุมกันเฉพาะพระพักตร์ พระองค์จะทรงแยกเขาออกเป็นสองพวกดังคนเลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ ให้แกะอยู่เบื้องขวา ส่วนแพะอยู่เบื้องซ้าย […] แล้วพวกนี้ก็จะไปรับโทษนิรันดร ส่วนผู้ชอบธรมจะไปรับชีวิตนิรันดร” (มธ 25:31-33,46)
คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก CCC ข้อ 653 การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าเป็นการยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์เคยตรัสไว้ว่า “เมื่อใดที่ท่านยกบุตรแห่งมนุษย์ขึ้น เมื่อนั้นท่านจะรู้ว่า ‘เราเป็น’ (ยน 8:28) การ กลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ผู้ทรงถูกตรึงกางเขนแสดงให้เห็นว่าพระองค์คือพระเจ้าผู้เคยตรัส(แก่โมเสส)ว่า “เราเป็น” ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าและทรงเป็นพระเจ้าเอง นักบุญเปาโลประกาศแก่ชาวยิวได้ว่า “เราขอประกาศข่าวดีให้ท่านทั้งหลายรู้ว่าพระสัญญาที่ประทานแก่บรรดาบรรพบุรุษนั้น พระเจ้าทรงกระทำให้เป็นจริงสำหรับเราทั้งหลายผู้เป็นลูกหลาน โดยทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย ดังที่มีเขียนไว้ในเพลงสดุดีบทที่สองว่า ท่านเป็นบุตรของเรา เราให้กำเนิดท่านในวันนี้” (กจ 13:32-33) การกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้ามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับพระธรรมล้ำลึกการรับสภาพมนุษย์ของพระบุตรของพระเจ้า การกลับคืนพระชนมชีพเป็นการทำให้แผนการนิรันดรของพระเจ้าสำเร็จเป็นจริง
Day by Day with St. Joseph (วันละหนึ่งนาทีกับนักบุญโยเซฟ)
16 มกราคม
“ท่านทั้งหลายเป็นพระกายของพระคริสตเจ้า แต่ละคนต่างก็เป็นอวัยวะของพระกายนั้น” (1คร 12:27)
การภาวนาเพื่อพระศาสนจักร
บทไตร่ตรอง
รายงานข่าวเหตุการณ์อื้อฉาวทางเพศในพระศาสนจักรคาทอลิกทั้งที่นี่และต่างประเทศ ทำให้เราได้รับบาดแผลสาหัส เรื่องนี้เตือนใจเราว่า แม้พระคริสตเจ้าทรงเป็นศีรษะที่รุ่งโรจน์ เป็นพระเจ้า และศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักร แต่บรรดาสมาชิกยังเป็นมนุษย์ ที่อ่อนแอ และมีความเปราะบาง
การสำนึกนี้ควรผลักดันเราให้ภาวนาเพื่อพระศาสนจักร และยังต้องขอบคุณ นักบุญโยเซฟ ที่ท่านยังคงภาวนาและปกป้องพระศาสนจักรอยู่เสมอ
คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก CCC ข้อ 639 พระธรรมล้ำลึกการกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงและแสดงให้เห็นได้ทางประวัติศาสตร์ตามที่พันธสัญญาใหม่เป็นพยานได้ ตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 56 แล้ว นักบุญเปาโลเขียนข้อความนี้ถึงชาวโครินธ์ว่า “ข้าพเจ้ามอบธรรมประเพณีสำคัญที่สุดให้ท่าน เป็นธรรมประเพณีที่ข้าพเจ้าได้รับมาอีกทอดหนึ่ง คือ พระคริสตเจ้าได้สิ้นพระชนม์เพราะบาปของเราตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ และทรงถูกฝังไว้ พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพในวันที่สามตามความในพระคัมภีร์ และทรงแสดงพระองค์แก่เคฟาส แล้วจึงทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกสิบสองคน” (1 คร 15:3-5) อัครสาวกท่านนี้กล่าวถึงธรรมประเพณีมีชีวิต (ซึ่งหมายความว่าผู้ถ่ายทอดธรรมประเพณีนี้ยังมีชีวิตอยู่) ที่ท่านเองได้เรียนรู้หลังจากที่ท่านได้กลับใจขณะเดินทางไปยังกรุงดามัสกัส
โอกาสปีนักบุญโยเซฟ เราสามารถเลียนแบบคุณธรรมของนักบุญยอแซฟได้จากชื่อ “JOSEPH” ของท่าน ดังนี้
J: Justice หมายถึง ความยุติธรรม ยอแซฟเป็นบุรุษแห่งความชอบธรรมเมื่อทราบว่าพระนางมารีย์ คู่หมั้นตั้งครรภ์ จึงคิดถอนหมั้นอย่างเงียบๆ เพื่อมิให้พระนางมารีย์ต้องเสียหายและอับอาย (มธ 1:19-25) เราจะต้องประพฤติตนในหนทางที่ถูกต้องและด้วยท่าทีที่เที่ยงธรรม
O: Obedience หมายถึง ความนอบน้อมเชื่อฟัง ยอแซฟนอบน้อมเชื่อฟังต่อทุกอย่างที่พระเจ้าทรงขอให้ท่านกระทำโดยไม่สนใจสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา เมื่อทูตสวรรค์บอกความจริงเกี่ยวกับบุตรที่พระนางมารีย์ทรงครรภ์ด้วยเดชะพระจิต ท่านได้รับพระนางมาเป็นภรรยาทันที (มธ 2:13-23) เราจะต้องเคารพเชื่อฟังครูอาจารย์และบิดามารดาของเรา
แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
122/8 อาคารแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ ซ.นนทรี 14 ถ.นนทรี แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพฯ 10120
โทร. 095-953-3070, 02-681-3850 Email: ccbkk@catholic.or.th Line_ID: kamsonbkk