เถ้าของเหตุการณ์ 9 กันยายน (9/11) ทำให้เขารับใช้พระคริสตเจ้า
(แสดงถึงเหตุการณ์ที่น่ากลัว 2001 ของวันก่อการร้าย กระตุ้นให้เขาเป็นสังฆานุกรเพราะได้รอดชีวิตจากการโจมตี
DeTurris Poust OSV Newsweekly
2011/08/31
 (ยูดิท  ท๊อปปิน)  
(บรรยายภาพ คุณพ่อไบรอัน  เกรบ (Father Brian Graebe) ได้รับพรจากพระอัครสังฆราชทิโมธี  เอ็ม. โดลัน แห่งนิวยอร์ก. ในวันรับศีลบวชเป็นพระสงฆ์เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2016/2559 ที่อาสนวิหารเซนต์แพทริก)
               เมื่อปอล คาร์ริสไปทำงานที่ชั้นที่ 71 ของอาคารศูนย์การค้าโลกวัน (One World Trade Center )  เขาไม่เคยคิดว่า เขาจะรอดชีวิตในเช้าวันนั้น และจะมาอยู่อยู่ในขั้นตอนที่ต้นผลิตเมล็ดพันธุ์แห่งกระแสเรียกพระสงฆ์ ล้วนเกิดจากการสำลักเถ้าจากวันวิปโยค เพื่อเขามีให้ทิศทางใหม่และความหวังที่ได้รับการฟื้นฟู
          วิศวกรหนุ่มจากรัฐนิวเจอร์ซี ที่ทำงานกับการท่าเรือเพียง 6 สัปดาห์ เมื่อผู้ก่อการร้ายโจมตีอาคารการค้าโลกวัน ได้สังหาร 2,700 คน เขาจะบวชเป็นสังฆานุกรปีนี้เพราะเหตุการณ์ แสดงเหตุการณ์ 9/11
         เขาบอกว่า ผู้หญิงที่เขาช่วยไว้ที่ทำให้เรื่องเล่านี้มีความหมาย
         จนถึงวันนี้    สังฆานุกรคารริสยังไม่ทราบว่า สิ่งที่ทำให้เขาเดินไปหายูดิท  ท๊อปปิน คนแปลกหน้าที่ไม่สามารถออกจากอาคารด้วยตัวเองได้ เพราะหายใจไม่สะดวกและขาบวม    และสัญญากับเธอว่า "เราจะเดินออกไปจากอาคารหลังนี้ด้วยกันนะ"  เขาช่วยเธอด้วยความยากลำบาก ใช้เวลา 90 นาที และ 71 ชั้น     พวกเขาเกือบเป็นรายสุดท้าย ที่หนึออกจากอาคาร ก่อนที่มันจะถล่มลง. ต่อมา ท๊อปปินเขียนว่า “เทวดาเดินเหิรในท่ามกลางพวกเรา" ขณะที่เธอเล่าประสบการณ์ที่บาดใจ เมื่อสังฆานุกรรู้สึกสะเทือนใจขณะอ่าน
          "การที่ยูดิธเล่าเรื่องผม เกี่ยวกับวันนั้น ลิ่งที่ทำให้เธอนิ่งสงบ ขณะที่ผมนำเธอลงมาตามบันได นำเธอออกจากอาคาร และเดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง. ไม่มีใครเป็นบุคคลนั้น  ผมคิดว่า สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจ คือการที่เธออธิบายถึงชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่ผมไม่เคยมี. ผมหวังว่า ผมสามารถตัดสินใจ “ถูกต้อง” ในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผมเอง. ไม่จริง – มันชัดเจน – สำหรับช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมง.ผมสามารถบรรลุสิ่งนั้น” เขาให้สัมภาษณ์กับสำนักพิมพ์ OSV. "เหมือนยูดิทชี้ให้เห็นว่า – พระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งเพื่อชี้นำเรา. นั่นเป็นที่การประเมินชีวิตของผม เริ่มทำให้ผมตระหนักว่าผมต้องการพระเจ้า ไม่ใช่ตัวเอง เพื่อเคลื่อนตัวไปในทิศทางที่ถูกต้องในชีวิตของผมเอง. "
       การตระหนักถึงการรับศีลบวชเป็นพระสงฆ์  สังฆานุกรคารริสต้องต่อสู้กับความโกรธและความบันดาลโทสะในการปลุกให้ตื่นของเหตุการณ์ 11 กันยายน  ซึ่งเขาอาศัยความช่วยเหลือของเพื่อน ๆ และพระสงฆ์ ที่เข้ามาในชีวิตของเขาในเวลาที่เหมาะสม. "พระเจ้าทรงนำบางคนให้มาอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสม ที่พระองค์ทรงพระประสงค์ เมื่อผมฉันต้องการมัน” เขากล่าวเพิ่มว่า มันเป็นคำเชื้อเชิญ เพื่อรับการฟื้นฟูจิตใจที่จัดโดยคณะคูร์ซิลโล (Cursillo) ที่ทำให้ตัวเองเห็นการทรงเรียกของพระเจ้า
         "ผมมองหาบางสิ่งบางอย่าง และไม่รู้ว่ามันเป็นเหตุการณ์ 9 กันยายน  ทำให้ผมทราบว่า บางสิ่งขาดหายไป. คณะคูซิลโล  ทำให้ผมรู้ว่า สิ่งที่ผมขาดหายไปคือพระเจ้า" เขาอธิบายว่าคูร์ซิลโลถูกกำหนดเส้นทางของการอ่านเรื่องชีวิตจิตวิญญาณ การสวดภาวนา และในที่สุด งานรับใช้. "นั่นคือสิ่งใหม่ ๆ.ครั้งหนึ่ง ผมทำงานรับใช้  เมื่อผมเริ่มพูดคุยเกี่ยวการเป็นสังฆานุกร. "
               สังฆานุกรคารริส ได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ประจำอัครสังฆมณฑลของเนวาร์ก. (Newark). เขาได้รับการอบรมเรื่องความเชื่อสำหรับผู้ใหญ่และความรับผิดชอบงานอภิบาลที่วัดพระวรกายของพระคริสตเจ้าในฮาสบรูค ไฮท์ (Hasbrouck Heights, N.J.),ที่เขาวางแผนที่จะใช้ประสบการณ์ชีวิตที่มีเอกลักษณ์ ที่จะมี "วิธีการมองสิ่งอื่นพยายามที่จะยกขี้นมาดู."แก่ประชาชน
        
          สำหรับคุณพ่อไบรอัน เกรบ คุณพ่อเจ้าวัดแห่งวัดบุญราศีคาเทรี Blessed Kateri
ในลากรองจ์ นิวยอร์ก และซิสเตอร์ฮีเธอร์  มารี  เดนีน นวกของนวกสถานคณะภคินีเฟลิเชียน ในเอนฟิลด์ คอน. อิทธิพลของเหตุการณ์ 9 กันยายนเกี่ยวกับกระแสเรียกที่ชัดเจนเมื่อเป็นสังฆานุกร คารริส แต่ผลักดันพวกเขาให้เป็นพระสงฆ์และนักบวชหญิงว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
                  คุณพ่อเกรบเป็นนักศึกษาวิชาปรัชญาที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์กในวันเกิดเหตุการณ์ 11 กันยายน เขาระลึกถึงตอนที่ออกจากห้องเรียนเพื่อไปดูควันควันดำคลุ้งจากอาคารแฝด. เมื่อเขากลับห้องเรียน ตึกก็พังลง. เขาเดินไปที่ห้องเช่าและติดต่อครอบครัวของเขา. เขาไปสวดภาวนาและบริจาคโลหิต. เขาจำได้ถึงกลิ่นเถ้า ที่ทำให้แมนฮัตตัน เป็น "แดนสนธยา" และความรู้สึกที่แท้จริงที่เขาอาจตายในวันนั้น
          "จริงๆแล้ว หลายวันและหลายสัปดาห์ตามมา ก็คือ สถานีรถไฟใต้ดินทุกแห่ง สวนสาธารณะทุกแห่งเป็นภาพของหลายร้อยคนที่หายไป. เป็นใบหน้าของมนุษย์ที่ประสบโศกนาฏกรรม.   คุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ คือใบหน้ายิ้มที่จ้องคุณและสิ้นหวังของผู้คน. คุณรู้ว่า พวกเขาตาย แต่ไม่มีใครต้องการที่จะให้พวกเขาล้มลง. เป็นเรื่องการหลอน” ประสบการณ์นั้นทำให้ผมสนใจเป็นเบื้องต้นทีเดียว ผมประทับใจในเหตุการณ์ชั่วแล่นของชีวิต”

           คุณพ่อเกรบไม่ได้ตัดสินใจเป็นพระสงฆ์ทันที.  แต่ “ความสำคัญของเหตุการณ์นั้นเสมอเท่ากับการเป็นพระสงฆ์ทีเดียว กดดันวิญญาณผมชนิดเอาเป็นเอาตาย ผมต้องการพระหรรษทาน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราหวัง ปรารถนาหัวใจมนุษย์ที่เชื่อและรู้ว่า มีบางสิ่งบางอย่างที่อยู่เหนือจากความสับสนวุ่นวายและโศกนาฏกรรมของชีวิตนี้."

          หลังจากที่เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เขาสอนที่โรงเรียนมัธยมเซนต์โรส ในเบลมาร์, นิวเจอร์ซีย์, ซึ่ง "ดีและได้รางวัล" เขากล่าว ดังนั้น  แผนของเขาดีมาก คือ เขาสอนเป็นเวลาหนึ่งปี เปลี่ยนเป็นสี่ปี และเขาตระหนักว่า ถ้าเขาไม่เปลี่ยน อาจจะเป็น 40 ปีก็เป็นได้
      คุณพ่อเกรบกล่าว "ผมคิดว่า ประสบการณ์ของผมเกี่ยวกับเหตุการณ์ 9 กันยายน เป็นแรงผลักดันใหญ่ที่สร้างสมดุล.  ผมคิดว่า อย่าทำสิ่งต่างๆด้วยความเสียดาย ณ ที่นี้เลย. ชีวิตสั้นนัก" เขาเข้าสามเณราลัยเซนต์โยเซฟ ในดุนวูดี (Dunwoodie, N.Y.) นิวยอร์ค และได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ในฤดูใบไม้ผลินี้. ประสบการณ์ของเขาช่างอยู่เหนือสิ่งที่เขาคาดหวัง”
          "ผมรู้จักตัวตนมากกว่าตัวเองเสียอีก เมื่อผมเพิ่งเริ่มชีวิต (สงฆ์)."

การรับใช้เยี่ยงเครื่องเร่งปฏิกิริยา
             ซิสเตอร์ฮีเธอร์เรียนที่ญี่ปุ่นเมื่อเปิดเผยเหตุการณ์ 11 กันยายน. สิ่งที่เธอได้เห็นและมีบทบาทมากในหลายเดือนและหลายปีกับเธอ จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของเธอ  อาชีพการงาน แผนการและความฝัน
   เธอหวังจะทำงานรับใช้ที่แปลก. อย่างไรก็ตาม ควันหลงของเหตุการณ์ 9 กันยายน ทำให้เธอเริ่มตั้งคำถามว่า เธอสามารถทำหน้าที่ดังกล่าว เมื่อเธอรู้สึกว่า นโยบายของประเทศของเธอ ขัดแย้งกับความเชื่อของเธอหรือไม่

       เธอพูด "ดิฉันกำลังเห็นว่า ดิฉันต้องส่งเสริมนโยบายที่เข้ากับการเป็นคาทอลิกของดิฉัน. คือการที่ดิฉันถวายตัวแด่พระเจ้า” เธออธิบายว่า “แบบทดสอบการรับใช้ที่แปลกและตัดสินใจว่า ผลลัพธ์นั้นเป็นสัญญาณสำหรับเธอ
       "ประเด็นนี้ ดิฉันรู้สึกเสียใจจนต้องใช้ชีวิตแห่งการสวดภาวนาและการรับใช้. ดิฉันใช้เวลามากขึ้นในพระศาสนจักรและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆของเยาวชน" "หลังจากที่เธอได้เห็นความฝันแรกของเธอหายไป,เธอหลงทาง. “แต่พระเจ้าทรงจัดวางสิ่งเหล่านั้นในชีวิตของฉัน ที่จะนำฉันไปสู่กระแสเรียกการเป็นนักบวช. "
          ในปี 2006 เธอเริ่มวิเคราะห์แยกแยะอย่างจริงจัง  คณะภคินีเฟลิเชียน  เพราะชุมชน "มุ่งให้ศีลมหาสนิทเป็นศูนย์กลาง ที่ทำให้เธอมีสมดุลระหว่างการสวดภาวนากับชีวิตแพร่ธรรม."  เธอสมัครเข้าคณะในปี 2008 และเข้าอารามเป็นผู้ฝึกหัดขั้นตอนแรกในปี 2009.  แล้วเป็นนวกปีที่สอง
         ซิสเตอร์ฮีเธอร์กล่าว "เหตุการณ์ 9 กันยายนเป็นตัวเร่ง...เธอเห็นว่าการเป็นทูตของประเทศสหรัฐ กับการเป็นทูตของพระคริสตเจ้า ไม่เข้ากันเลย”

Mary DeTurris Poust เขียนจากนิวยอร์ก. หนังสือเล่มสุดท้ายของเธอคือ “คู่มือที่จำเป็นต่อการสวดภาวนาและพิธีบูชาขอบพระคุณ” “The Essential Guide to Catholic Prayer and the Mass”  (Alpha, $16.95).